(ขอบคุณเครดิตภาพความประทับใจจากคนไข้ที่น่ารักค่ะ)
 

การทำ Coolsculpting ในตอนแรกจะเริ่มจากการวางแผ่นเจลเพื่อปกป้องผิว และก็จะประกบหัวดูดเข้ากับผิว โดยในช่วงแรกที่กำลังทำอยู่นั้น อาจจะมีความรู้สึกตึง ๆ หรือบีบรัดบริเวณที่ทำอยู่บ้างเล็กน้อย แต่หลังจากนั้น 5 - 10 นาที อาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น และจะมีความรู้สึกเย็น และชาบริเวณที่รักษา ซึ่งการทำ Coolsculpting จะใช้เวลาประมาณ 60 นาที ต่อหนึ่งพื้นที่ของหัวดูด 

หลังจากที่รักษาเสร็จแล้ว ผิวหนังบริเวณนั้น ๆ อาจจะมีรอยแดงช้ำ หรืออาจรู้สึกว่าผิวหนังแข็งตึงกว่าปกติ และอาจมีอาการชาร่วมด้วย แต่ไม่ต้องกังวล เพราะอาการเหล่านี้จะหายไปเองภาย 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามควรงดทำทรีตเมนต์อื่น ๆ บริเวณที่ไปรักษามา รวมไปถึงการประคบร้อน และนวดอีกด้วย

Coolsculpting มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี Coolsculpting จะเหมาะกับการสลายไขมัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะสามารถทำกันได้ทุกคน โดยผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้

- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือมีค่า BMI อยู่มากกว่า 30 เพราะจะเห็นการเปลี่ยนแปลงน้อย และช้า
- ผู้ที่เป็นโรคแพ้ความเย็น
- ผู้ที่เป็นโรคเลือดแข็งตัวของเลือดผิดปกติเมื่อต้องสัมผัสกับความเย็น
- หญิงตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าอาจจะตั้งครรภ์
- หญิงระหว่างมีประจำเดือน เพราะอาจปวดประจำเดือนเป็นมากขึ้น
- หญิงหลังคลอดบุตร หรือผู้ที่รับการผ่าตัดมายังไม่เกิน 6 เดือน รวมไปถึงผู้ที่มีแผลผ่าตัดในบริเวณที่จะทำการรักษา ซึ่งแผลผ่าตัดยังมีอายุไม่เกิน 6 เดือน
- ผู้ที่ใส่อุปกรณ์ควบคุมการเต้นของหัวใจ

ผลลัพธ์ที่จะได้หลังทำ Coolsculpting

หลังจากที่ทำ Coolsculpting มาแล้ว ผลลัพธ์จะเริ่มสังเกตเห็นได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจะชัดเจนมากขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น 2 เดือน ร่างกายจะทำการขจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้วออกไปเรื่อย ๆ จนเข้าสู่เดือนที่  4 ที่ผลลัพธ์จะเห็นได้ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากทำควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมการทานอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

55th Laser Clinic พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำ Coolsculpting โดยเรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่จะคอยให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง หากท่านใดกำลังมีความต้องการจะลดไขมัน ให้เราช่วยดูแล รับรองว่าไม่ผิดหวังกับผลลัพธ์ที่ได้แน่นอน